Home

จากการเป็นนักเรียนสายวิทย์-คณิต ต่อด้วยปริญญาตรีด้านการตลาด ปริญญาโทด้านการเงิน และทำงานในสายที่งานเกือบทุกอย่างทำบนคอมพิวเตอร์ ทำให้แทบไม่ต้องหยิบจับปากกาหรือดินสอขึ้นมาขีดเขียน  อย่าว่าแต่วาดรูปเลย จะเขียนอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บนิ้ว

สิ่งที่ตามมาคือ จินตนาการหดหาย รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวสับสนตลอดเวลา ไม่สามารถเล่าหรืออธิบายสิ่งที่คิดออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ คิดว่าสมองซีกขวาของตนเองได้ถูกปิดตายไปแล้วแน่ๆ 100%

Visul presentation_26.jpg

แต่เมื่อพบกับศาสตร์ของ Visual Thinking หรือการคิดด้วยภาพ ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย จากที่ไม่สามารถอธิบายเรื่องต่างๆในหัวให้คนอื่นเข้าใจ ก็เริ่มมีคนบอกว่าตนเองมีความสามารถในการเล่าเรื่องยากๆได้เข้าใจง่าย เคล็ดลับคือการมีภาพที่อยากจะสื่อสารที่ชัดเจน แต่การคิดอยู่ในหัวมันไม่สามารถชัดเจนได้เพียงพอ “การวาด” ออกมาจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราเห็นภาพของสิ่งที่เราจะเล่าชัดๆ เมื่อเห็นภาพชัด การเล่าหรือบรรยายก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเราใช้ภาพนั้นประกอบการเล่า

จึงเป็นที่มาของการพยายามส่งเสริมศาสตร์ Visual Thinking ที่ผลของการใช้ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องการเล่าเรื่อง หากแต่คือการต่อยอดเรื่องต่างๆไปได้ไม่รู้จบ ทั้งการแก้ปัญหา หาทางเลือก การนำเสนองาน การหาไอเดียสร้างสรรค์ หรือแม้แต่การขาย

VTT web_4

Visual Thinking กับศิลปะเป็นคนละศาสตร์กันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ศิลปะเน้นแสดงออกถึงความสวยงาม ความบรรจง หรือละเมียดละไม Visual Thinking เน้นที่การสามารถอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาสื่อสารได้ด้วยภาพง่ายๆ ที่ใครๆก็สามารถวาดได้หากรู้เทคนิค ซึ่งรวมถึงการใช้กราฟ แผนที่ และไดอะแกรมต่างๆเข้ามาเป็นตัวช่วย

ภาวินี เจือติระรักษ์

vtt-web_05

contact us.jpg